Henry : แนะนำตัวด้วยครับ
อ.โอ๊ค : ครับ ผมเสริมพล ปิยะทัศนาพงศ์ เรียก โอ๊คก็ได้ครับ เป็นผู้นำนมัสการ ปัจจุบันทำงานด้านการนมัสการ, ทำเว็บไซต์การนมัสการเพื่อประเทศไทย เราเชื่อว่า การนมัสการ คือ กุญแจของการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง และการนมัสการก็เป็นกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ มีนำนมัสการในนิเวศอธิษฐาน นำนมัสการตามที่ต่างๆงานประชุมต่างๆ และคริสตจักรต่างๆ ที่ได้รับเชิญมาครับ, บางทีก็ไปแบ่งปันในทีมนมัสการของแต่ละคริสตจักรเป็นการแบ่งปันเรื่องหลักการนำนมัสการ ความหมายของการนมัสการ และแบ่งปันพระวจนะที่นักนมัสการทุกคนจำเป็นต้องศึกษาควบคู่ไปกับการนมัสการครับ เพราะถ้าเรามีพระวจนะการนำนมัสการของเราจะไม่ตันครับ
Henry : จุดเริ่มต้นของการนำนมัสการละครับ
อ.โอ๊ค : เริ่มจากผมเล่นกีต้าร์มาก่อน ตั้งแต่ ม.3 จากการที่น้าผมเล่นกีต้าร์ และผมอยากร้องเพลง พอปิดเทอมแม่ผมก็ส่งไป เรียนกีต้าร์แต่ยังไม่ได้อะไรเลย ก็กลับมาหัดเล่นเอง ไม่เข้าใจก็มาถามน้า ดูตามหนังสือ และพอรู้จักพระเจ้าก็เล่นบ้างแต่ก็ไม่เก่งเท่าไหร่ จนมีผู้นำมาทักว่าเขาเห็นนิมิตว่าผมร้องเพลงในทีมนมัสการ จากนั้นก็เริ่มเข้ามาในทีมนมัสการ ต่อมาโบสถ์เริ่มมีกลุ่มเซล ก็เลยต้องมีคนเล่นกีต้าร์ ทีนี้ไม่มีใครเล่นเป็นเลย ก็เลยต้องเล่นและเล่นมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้นำนมัสการในกลุ่มครับ และเริ่มนำในคริสตจักรจนเป็นผู้นำนมัสการมาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
Henry : แล้วมีไปศึกษาเพิ่มเติมจากที่ไหนบ้างครับ
อ.โอ๊ค : มีไปศึกษาหลายครั้งหลายที่ครับ แต่ครั้งหนึ่งช่วงที่อยู่ในคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ผมเป็นทีมงาน เขาจะส่งคนไปอบรมในทุกๆ ปี ผมก็ได้ไป 2 ครั้ง ผมเลือกลง workshopนมัสการ ที่นั่นเค้าไม่ได้สอนแค่เทคนิคของดนตรีเท่านั้นนะครับ เค้าสอนเรื่องความเข้าใจในการนมัสการด้วยครับ
Henry : ทราบว่า อาจารย์ แปลเพลงมาใช้ในโบสถ์เยอะมาก
อ.โอ๊ค : มาจากการที่เรารับใช้ในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ที่ร้องเพลงทั้งไทยและฝรั่งครับ (ศิษยาภิบาลเป็นฝรั่ง)ต้องการให้เราร้องทั้ง 2 ภาษา เราเลยต้องเลือกแต่เพลงฝรั่งมาแปลเป็นไทยเพื่อใช้ในคริสตจักร เพราะจะได้มีเนื้อภาษาอังกฤษให้ฝรั่งร้องได้ด้วย เพลงฝรั่งที่มีการแปลเป็นไทยแล้วเราก็เลือกสรรมาใช้ครับ แต่ก็ยังมีเพลงฝรั่งดีๆอีกมากมายที่เราอยากใช้แต่ไม่มีใครแปล (หรืออาจจะมีคนแปลแล้วแต่เราไม่รู้เอง) ก็เลยต้องเริ่มต้นแปลเพลงเอง คริสตจักรที่ผมอยู่ในตอนนั้นก็มักจะใช้เพลงฝรั่งที่ไม่เหมือนที่คริสตจักรอื่นๆซะด้วย อย่างช่วงนั้นมีเพลงดีดีของ Hillsongs มากมาย ซึ่งตอนนั้นไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก(เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคริสตจักรความหวังแปลไว้เยอะ) จากการเริ่มแปลเพลง ผมเรียนรู้ว่าเราต้องเข้าใจเนื้อเพลงและวิญญาณของเพลงนั้นจริงๆ เช่น เราร้องเนื้อภาษาอังกฤษว่า I appliciate ภาษาไทยก็น่าจะใช้ เราซาบซึ้งใจ อันที่จริงน่าจะใช้คำว่า ลูก หรือ ข้า หรือ ฉัน มากกว่าคำว่า เรา เพราะภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘I’ เวลาฝรั่งร้องเพลงนี้ความรู้สึกของพวกเขาหมายถึงตัวเองกำลังซาบซึ้งใจกับพระเจ้า แต่พอเรามาใช้คำว่า เรา ความรู้สึกจะกลายเป็นหมู่คณะที่กำลังพูดกับพระเจ้าแทน ทำให้การนมัสการไม่เป็นส่วนตัวตามที่คนแต่งเขาต้องการให้เป็น แต่อย่างที่เราทราบครับ ภาษาไทยมีข้อจำกัดจริงๆ บางทีเราจะแปลกันแบบตรงตัวเลยก็ไม่ได้ ผมว่าเพลงไหนแปลไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดีพอ ก็ไม่ควรแปลครับ ดังนั้นเพลงแต่งน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ผมแปลเพลงมาประมาณ 200กว่าเพลง แต่มีมากกว่า 140 เพลงหรืออาจจะเกือบทั้งหมด ที่แม้แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังคงรู้สึกไม่พึงพอใจกับการแปลนั้น ดังนั้นเพลงดังกล่าวก็จะถูกเก็บเอาไว้ไม่ได้เอามาใช้กันแบบจริงๆ จังๆ สักทีครับ บางทีเราก็นึกคำที่ดีกว่านั้นไม่ออก ต้องหาคนมาช่วยกันนึกครับ
Henry : ได้สัมผัสทั้งงานนมัสการทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ต่างประเทศเค้าต่างกับเรายังไงครับ
อ.โอ๊ค : ผมว่าต่างประเทศเค้ารู้อะไรบางอย่างที่มากกกว่าเรานะ ผมไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงใช้เค้ามากกว่าเรา หรือเค้าพิเศษกว่าเรา แต่เพราะเค้าเริ่มต้นมาก่อนเรา มันเป็น Know How ซึ่งจริงๆ เค้าไม่น่ารู้ก่อนเรา แต่เนื่องจากบรรพบุรุษเขาก้าวเดินออกมาก่อนเรา มันจึงมีการสั่งสมและส่งผ่าน โอเค เค้าอาจจะคิดว่าเค้าไม่รู้มากกว่าเรา แต่ถ้าเราไปคุยกะเค้า เราจะรู้ว่าเค้ารู้บางอย่างที่มากกว่าเรา ซึ่งถ้าเราไปอยู่ตรงนั้น เราจะได้รับกลับมา มันเป็นการส่งผ่าน ส่วนตัวผมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไปอเมริกาเกือบเดือน แล้วพอผมกลับมานำนมัสการทุกคนบอกเลยว่าการนำของผมเปลี่ยนไป แต่อยู่ที่นั่นผมไม่ได้ฝึกนำนมัสการอะไรเลย ผมอยากบอกว่าบางครั้งเราบอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น แต่พอเราได้เอาสิ่งที่เรามีแบ่งปันให้กับคนที่ยังไม่รู้ เราจะรู้ว่าสิ่งที่เรารู้นั้นมีพอและส่งผ่านให้ผู้อื่นได้
Henry : อาจารย์มองงานนมัสการในประเทศไทยอย่างไรครับ
อ.โอ๊ค : ความเข้าใจในการนมัสการดีขึ้นมาก มีเสรีภาพมากขึ้น ปัญหาหนึ่งในสมัยก่อน คือการที่เราถูกครอบด้วยเงื่อนไขของเวลาที่ต้องจบเพื่อต่อโปรแกรมอื่นๆ แต่เราลืมไปว่าสมาชิกส่วนมาก เค้ามีแค่วันอาทิตย์ที่จะมานมัสการเท่านั้น เรื่องงานนมัสการเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เป็นการมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า ซึ่งนั่นคือสมัยก่อน ปัจจุบันผมเชื่อการนมัสการต้องไปควบคู่กับการเทศนา เพราะเราจะนมัสการโดยที่เรายังไม่เข้าใจว่าเรานมัสการอะไรไม่ได้ ต้องเข้าใจพระเจ้า แต่ก็ยังมีบางที่ ยัง Balance กันไม่พอดี จึงทำให้บางครั้งสมาชิกเองก็ไม่สามารถฟังเสียงพระเจ้าได้ ผมเชื่อว่าจะดีขึ้น มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เร้าใจ และมีคนแต่งเพลงมากขึ้น อย่างเช่น คุณบงกช เพลงทุกเพลงที่แต่งออกมาเราอาจฟังว่าธรรมดา แต่พอผ่านไปเราจะรู้ว่าเพลงทุกเพลงนั้นไม่ธรรมดา เพราะเค้าแต่งมาจากความเข้าใจในพระเจ้ามาก เช่น เพลงบนบัลลังก์ เนื้อหาของเพลงบอกถึงพระเจ้าชัดเจนมาก คือผมเชื่อว่าการนมัสการ มีเพื่อพระเจ้า และสุดท้ายก็เพื่อพระเจ้า ในพระคัมภีร์วิวรณ์ไม่เขียนแม้ชื่อผู้อาวุโส มีแต่ผู้ประทับบนบัลลังก์เท่านั้นครับ คือเราต้องทำยังไงก็ได้จากที่กว้างที่สุด จนสุดท้ายให้เค้ามองไปที่พระเจ้าและจนในที่สุด เค้าลืมไปเลยว่าเค้าอยู่ตรงนั้นเพราะเค้ามองที่พระเจ้าเท่านั้น คือทำให้ที่ประชุมไปถึงจุดนั้นให้ได้ พระธรรมวิวรณ์ได้แสดงจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง คือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผู้ทรงประทับบนบัลลังก์ อย่างที่เพลง " เพียงผู้เดียว" กล่าวไว้ เดี๋ยวนี้มีผู้นำนมัสการไทยที่แต่งเพลงไทยออกมากันมากมาย และล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่ดี ลึก และมาจากความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า แค่นี้ก็เห็นแนวโน้มและอนาคตอันสดใสของการนมัสการในประเทศไทยแล้วครับ
Henry : อะไรคืออุปสรรคของการนมัสการในเมืองไทยหละครับ
อ.โอ๊ค : ผมสังเกตว่าที่ผ่านมา เราเลือกเพลงที่พูดถึงตัวของเราเองมากเกินไปครับ บางครั้งบรรยากาศมันกำลังจะไปถึง แต่เพลงที่เราใช้ มันทำให้บรรยากาศที่จะไป เฉออกไป ปัญหาใหญ่ของการนำนมัสการ คือการเลือกเพลง และการเรียงเพลง บางครั้งเลือกเพลงมาดีมาก แต่เพลงสุดท้ายเลือกมาไม่ดี มันเลยเบ้ออกไป เหมือนที่ท่านอัครทูตยอห์นกล่าว ว่า พระเจ้าต้องใหญ่ขึ้นและข้าพเจ้าต้องเล็กลง หลักการนี้คือ ความจริง บางครั้งคริสตจักรก็ใช้เพลงที่เกี่ยวกับการเจิมมาก (ตัวเองต้องการรับเข้ามา) ผมมีมุมมองที่อยากสะท้อนไปว่า ถูกต้องแล้วที่เราขอการเจิม แต่การนมัสการต้องไม่หยุดที่การขอเท่านั้น เพราะการนมัสการคือการให้ เมื่อเราไปถึงพระเจ้าแล้วเราแทบไม่ต้องขออะไรเลย เป้าหมายต้องมีแต่พระเจ้าเพียงผู้เดียว เริ่มต้นเราพูดถึงการเจิม แต่สุดท้ายเราไม่ควรขอการเจิมอีก นอกจากพระวิญญาณจะทรงนำให้เราร้องแบบนั้น หรือผู้นำ(ศิษยาภิบาล หรืออาจารย์ที่ดูแลอยู่ในขณะนั้น)ต้องการให้ร้องแบบนั้นหรือเพลงนั้นๆ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการนมัสการ เพราะพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงทราบในสิ่งที่เราไม่รู้ ทรงทราบวาระ และเวลา สิ่งที่เราคิดว่ารู้ตอนนี้ก็ไม่สมบูรณ์ครับ ยังมีอีกมากมายจริงจริงที่เรายังไม่รู้ แต่สำหรับโดยปกติในการนมัสการทั่วไป ควรเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น เช่น เพลงที่ร้องว่า เรานมัสการ หรือ เราพึ่งพาพระองค์ ล้วนเป็นเพลงที่ดีซึ่งผมเองก็ใช้บ่อย แต่น่านำเพลงแบบนี้วางไว้ช่วงกลางๆ และไม่นำไปใช้ช่วงท้ายๆ เพราะช่วงท้ายนั้นต้องเป็นเพลงที่ไม่ควรพูดถึงเราเลย ควรมีแต่พระเจ้าเท่านั้นครับ อย่างไรก็ตามไม่มีสูตรสำเร็จ ความรู้ของเราไม่เคยสมบูรณ์ครับ
Henry : มีเพลงที่ประทับใจบ้างมั้ยครับ
อ.โอ๊ค : เพลงนมัสการในสวรรค์ ของ พี่หม่อง พิษณุ ไทรงาม ดูเนื้อเพลงสิ สามารถพาที่ประชุมพบพระเจ้าได้ในทันที ปากของเราพาบรรยากาศไปพบพระเจ้าเลย คอร์ดก็ง่ายมาก คอร์ดวนไปเรื่อยๆ เพลงนี้มาจากการทรงนำของพระวิญาณบริสุทธิ์เลยนะ เพราะผมรู้จักเพลงของพี่หม่องเพลงนี้ไม่ได้แต่งออกมาจากสไตล์ตามปกติของพี่หม่อง ทุกเพลงของพี่เขาก็พิเศษ แต่สำหรับผมแล้วเพลงนี้พิเศษจริงๆ อ้อมีเพลงในอัลบั้มของ Don Moen ชุด Thank you Lord เพลงสุดท้ายของอัลบั้มที่มีชื่อว่า When it’s all been said and done เนื้อเพลงได้เตือนเราว่า อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้เชื่อ เงินทองทรัพย์สมบัติ สิ่งของหรือ? แต่คือการดำเนินชีวิตในความจริง การดำเนินชีวิตในความรัก เพลงนี้ยังกล่าวถึงความน่าอัศจรรย์ใจที่โดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์สามารถเปลี่ยนเราจากคนบาปให้เป็นผู้ชอบธรรม และยังทรงสัญญาว่าเราจะอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ตลอดไป พระองค์ผู้ทรงพบทองคำบริสุทธิ์ในโคลนตมอย่างเรา ง่ายๆ และโดนมาก เห็นมั้ยกลับมาที่เค้าเข้าใจบางอย่างมากกว่าเรา เสียดายครับ ฝาก TOV ช่วยลองแปลเป็นไทยให้ด้วยนะครับ ผมลองดูแล้วมันยังไม่ค่อย work บางครั้งผมรู้สึกทึ่งจริงจริงว่าพระเจ้าทรงใช้พวกเขาแต่งเพลงที่มีความเข้าใจลึกซึ้งแบบนี้ได้อย่างไร
Henry : รู้สึกอย่างไรกับ TOV ครับ
อ.โอ๊ค : ดีมากครับ การที่นำนักแปลเพลงมารวมกัน มันอาจจะไม่ได้สวยหรูมาก แต่ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ สำคัญมากนะครับ ในความสัตย์ซื่อและความพยายาม มันจะเห็นความสำเร็จได้เพราะความสัตย์ซื่อในกิจการงานที่ทำ เหมือนในพระคำของพระเจ้าที่จะอวยพรผ่านความสัตย์ซื่อที่ได้ทำลงไป
Henry : สุดท้ายฝากอะไรให้กับผู้อ่านบ้างครับ
อ.โอ๊ค : การนมัสการเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ คือ การที่เราเข้ามาบอกว่าพระเจ้าเรารักพระองค์ เราต้องการพระองค์ พระองค์ทรงดีงามและงดงาม แค่นั้นเอง และอยากเสริมว่านอกจากการเจิมภายนอกแล้วเรายังมีการเจิมภายใน ในยอห์นบทที่ 7 พูด ถึง บ่อน้ำพุที่พระเจ้าจะให้กับเรา และน้ำนั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในชีวิตเรา ซึ่งที่มีทั้งสันติสุข ความยินดี ความปลาบปลื้มใจและอื่นๆ ที่ดีๆ พระเจ้ามีทั้งการเจิมภายนอกและภายใน เพราะพระวิญญาณนั้นก็อยู่ในเรา พระองค์ไม่ใช่แค่เปรียบเหมือนบ่อน้ำนะ แต่พระองค์เป็นยิ่งกว่านั้นอีก คือพระองค์ทรงเป็นแหล่งของการเจิม และมีมากพอสำหรับทำทุกอย่าง และถ้าเรามีทั้งการเจิมทั้งภายในและภายนอกแล้ว ซึ่งจริงๆ เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อก็มีอยู่แล้วเพียงแต่ถ้าเราจะตระหนักว่าเรามีอะไรแล้วใช้มัน มันจะสุดยอด เพราะเราจะใช้ทุกอย่างในพระเจ้าเพื่อน้ำพระทัยของพระองค์ อยากฝากทุกท่านไว้เท่านี้ละครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับ TOV Interview เชื่อว่าทุกท่านจะได้รับหลายๆ สิ่งและนำไปใช้ในการนมัสการได้นะครับ สุดท้ายขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกท่านที่อ่านเต็มล้นในการเจิมทั้งภายนอกและภายในนะครับ พบกันใหม่ฉบับหน้า GBU